-
ร่วมกอบกู้กรุงศรีอยุธยา
-
ในเวลาต่อมาเจ้าเมืองตากได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นพระยาวชิรปราการครองเมืองกำแพงเพชร หลวงพิชัยอาสาได้ติดตามไปรับใช้อย่างใกล้ชิด
และเป็นเวลาที่พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา
พระยาวชิรปราการต้องอยู่ในกรุงช่วยรบพม่า
เมื่อเห็นว่ากำลังข้าศึกมากมายที่จะรักษากรุงได้ พระยาวชิรปราการจึงพร้อมด้วยหลวงพิชัยอาสา
หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา
ขุนอภัยภักดี
หมื่นราชเสน่หา
พระเชียงเงิน และพลทหารไทยจีนประมาณ
๕๐๐ คน พร้อมอาวุธออกรบกับพม่า
หลวงพิชัยอาสานำทางต่ฝ่ายพม่าเปิดทางให้พระยาวชิรปราการออกมาตั้งค่ายพักอยู่ที่บ้านพรานนก
ได้ปะทะกับพม่าอีก เข้าต่อสู้กัน
ทัพของพระยาวชิรปราการได้ตีฝ่าออกไปอีก
ไปถึงค่ายของขุนหมื่นพันทนายบ้านซึ่งต่อต้านไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง
พระยาวชิรปราการพร้อมด้วยหลวงพิชัยอาสาและทหารหาญ
เข้าตีค่ายของขุนหมื่นทนาย
ได้ช้างม้าอาหารพอสมควรแล้วได้ยกไปตั้งหลักที่เมืองปราจีน
ได้มีกองทัพพม่ายกติดตามมาอีก
ก็ถูกทัพไทยซุ่มชิงสกัดเอาไว้
ทัพไทยจึงเดินทางถึงเมืองระยอง
-
เจ้าเมืองระยองได้พาเจ้าพนักงานออกต้อนรับ
แต่มีแผนจะลอบทำร้ายภายหลัง
ทัพไทยรู้ตัวเสียก่อนคอยระมัดระวังตัวในเวลากลางคืนทางการเมืองระยองจึงเข้าโจมตีพระยาวชิรปราการพร้อมด้วยหลวงพิชัยอาสานายทหารอีก
๑๕ นาย ออกปะทะกับข้าศึก
หลวงพิชัยอาสาสามารถตัดศีรษะขุนว่าเมืองด้วงได้
พระยาวชิรปราการจึงชมว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมเหมือนพระยาสีหราชเดโช
(น้อย ยะทิปะ)
ทหารคู่พระทัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
จากระยองจึงมุ่งไปจันทบุรี
เพราะเจ้าเมืองจันทบุรีคุ้นเคยกับพระยาวชิรปราการ
เมื่อครั้งเป็นมหาดเล็กด้วยกัน
ทั้งนี้เพื่อรวบรวมคนกลับไปตีพม่าที่กำลังล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่
-
เจ้าเมืองจันทบุรีตอนแรกเห็นดีด้วย
แต่ตอนหลังกลับคิดร้ายต่อทัพไทย
พระยาวชิรปราการจึงตัดสินใจเข้าตีเมืองจันทบุรีโดยขี่ช้างพังประตูให้หลวงพิชัยคุมทหารเดินเท้าในเวลาตี
๓
ก่อนเข้าตีสั่งให้ทุกคนทุบหม้อข้าวหม้อแกงไม่ให้เหลือ เพื่อเข้าเมืองจันทบุรีให้ได้
และเข้าได้เป็นผลสำเร็จ
เมื่อช้างพังประตูเมือง
หลวงพิชัยอาสาก็คุมทหารกรูเข้าเมืองผู้คนอลหม่าน
เจ้าเมืองจันทบุรีพาครอบครัวหนีไปทางปากน้ำพุทไธมาศ
หลวงพิชัยอาสาได้ตัดศีรษะหมื่นซ่องผู้ยุยงเจ้าเมืองจันทบุรีได้
(ในเวลานั้นพระวชิรปราการได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าตากแล้ว)
-
เมื่อตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว
ก็เท่ากับเป็นที่ตั้งหลักพักทัพสะสมเสบียงอาหารสรรพาวุธ
ช้าง ม้า
และทหาร
พักทัพอยู่จันทบุรี ๗
เดือน ได้ต่อเรือขึ้นประมาณ
๑๐๐ ลำ ได้ทราบข่าวว่ากรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว
เจ้าเมืองตามหัวเมืองต่าง
ๆ ได้คิดตั้งตนเป็นใหญ่
แบ่งออกกันเป็นก๊กเป็นเหล่ารบพุ่งกันเอง
-
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้
ทำให้พระเจ้าตากสินมหาราชตรัสแก่บรรดาทหารหาญและประชาชนที่รวบรวมได้
ว่าจะต้องกู้เอกราชขับไล่พม่าให้ได้
และจะรวบรวมคนไทยที่ตกกระจัดกระจายกันให้รวมเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
จึงได้ตั้งข้าหลวงปกครองจันทบุรี
และระยอง จากนั้นพระองค์ได้นำกองทัพเรือประมาณ
๑๐๐ ลำ ทหารทหารประมาณ ๕,๐๐๐ คน
ยกมาทางปากน้ำสมุทรปราการ
มาถึงธนบุรีได้ปะทะกับกองทหารที่มี
นายทองอิน
คนไทยซึ่งพม่าแต่งตั้งให้กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินเขตนั้นส่งให้พม่าที่อยู่อยุธยา
ได้จับนายทองอินแล้วให้ประหารชีวิตเสีย
พระองค์ได้สั่งให้หลวงพิชัยอาสายกทัพขึ้นเหนือ
ได้ปะทะกับทัพของสุกี้พระนายกอง
ได้ต่อสู้กันเป็นเวลานานถึง
๒ วัน สุกี้พระนายกองเสียชีวิตในที่รบบริเวณค่ายโพธิ์สามต้น
ซึ่งเป็นค่ายที่สุกี้พระนายกองควบคุมเพื่อจับผู้คนชาวไทย
ทรัพย์สินต่าง ๆ
ส่งไปยังพม่า
เมื่อค่ายโพธิ์สามต้นแตก
ทัพไทยก็มุ่งเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา
บรรดาเชื้อพระวงศ์ ข้าราชการ
ประชาชนได้ต้อนรับนอบน้อมยกย่องพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นเป็นผู้นำ
พระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงตั้งพลับพลาพักในพระนคร
ได้ทรงช้างตรวจดูความเสียหายทั่วพระนคร
ซึ่งพม่าทำลายเสียหายหนักมาก
-